ในสังคมไทย การ "ให้โดยเสน่หา" เป็นการแสดงความมีน้ำใจและความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลใกล้ชิด เช่น คนในครอบครัว คู่รัก หรือเพื่อนสนิท และยิ่งในช่วงที่ภาษีหลายหลาก หลายคนก็ไม่ต้องการจะเสียภาษีอันเกินจำเป้น ก็มีการมอบให้กับ "ลูกหลาน" เสียก่อนที่ตนเองจะลาจากโลกนี้ไป ซึ่งเมื่อมอบแล้วนั้น ทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจคือ หากเกิดกรณีที่ความสัมพันธ์เหล่านั้นเปลี่ยนแปลง หรือมีการกระทำที่ไม่เหมาะสมหลังจากการให้โดยเสน่หา เช่น กรณีการมอบบ้านและที่ดิน จากนั้นไล่ พ่อ และ/หรือ แม่ ออกจากบ้านหลังจากได้มอบทรัพย์สินแล้ว หรือในบางครั้งเอาไปขายทิ้งแล้วปล่อย พ่อ และ/หรือ แม่ เผชิญกับปัญหาออกไป หากเกิดเหตุปัญหาเช่นนี้ ผู้ให้สามารถเรียกร้องทรัพย์สินคืนได้หรือไม่
ก่อนอื่นในแง่ของกฎหมาย การให้โดยเสน่หามีการพิจารณาในหลายมิติ เช่น ความแตกต่างจากการฉ้อโกงและหลอกลวง รวมถึงเงื่อนไขพิเศษในการขอคืนทรัพย์สินหากผู้รับประพฤติเนรคุณ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ควรได้รับการวิเคราะห์อย่างละเอียดในบริบทของกฎหมายแพ่งไทย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 521 การให้โดยเสน่หาหมายถึง การที่ผู้ให้โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่บุคคลอื่น โดยไม่มีค่าตอบแทนและเกิดจากความสมัครใจ โดยทั่วไป การให้เช่นนี้มักเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น การให้ของขวัญ การโอนทรัพย์สินให้คู่สมรส หรือการให้เงินแก่บุตรหลาน
การให้โดยเสน่หามักมีพื้นฐานจากความเต็มใจของผู้ให้ จึงไม่เกี่ยวข้องกับการบีบบังคับหรือหลอกลวง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และผู้รับ ความซับซ้อนทางกฎหมายก็เกิดขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้รับกระทำการเนรคุณต่อผู้ให้ โดยในกรณีของการให้โดยเสน่หา ผู้รับอาจต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39(4) ซึ่งระบุว่า การรับทรัพย์สินจากการให้โดยเสน่หาถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี หากมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับเกินกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนด ยกเว้นในกรณีที่เป็นการให้ภายในครอบครัวหรือญาติใกล้ชิดบางประเภท การยกเว้นนี้ยังคงต้องตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติมตามที่กรมสรรพากรกำหนด และภาษีเงินได้จากการได้รับทรัพย์สินจากการให้โดยเสน่หาจะถูกคำนวณเป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยมีหลักการคำนวณดังนี้:
1. การรับของขวัญหรือทรัพย์สินจากการให้โดยเสน่หา
การรับทรัพย์สินจะถือเป็น "เงินได้พึงประเมิน" ภายใต้มาตรา 39(4) ของประมวลรัษฎากร หากผู้รับไม่ได้เป็นบุคคลในครอบครัวหรือญาติใกล้ชิดตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราภาษีขั้นบันได (ตามข้อ 2)
2. อัตราภาษี
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะเป็นอัตราก้าวหน้า ขึ้นอยู่กับฐานรายได้รวมต่อปีของผู้รับ โดยแบ่งเป็นขั้นตามตารางดังนี้:
รายได้ | เสียภาษี |
---|---|
ไม่เกิน 150,000 บาท | ยกเว้นภาษี |
150,001 - 300,000 บาท | 5% |
300,001 - 500,000 บาท | 10% |
500,001 - 750,000 บาท | 15% |
750,001 - 1,000,000 บาท | 20% |
1,000,001 - 2,000,000 บาท | 25% |
2,000,001 - 5,000,000 บาท | 30% |
รายได้เกิน 5,000,000 บาท | 35% |
3. การคำนวณภาษี
นำมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หามาคำนวณรวมกับรายได้อื่น ๆ ทั้งปีของผู้รับ เพื่อหาฐานภาษีที่ต้องเสีย โดยใช้หลักการคำนวณตามขั้นบันไดดังกล่าวข้างต้น
ความแตกต่างระหว่าง ให้โดยเสน่หา ฉ้อโกง และหลอกลวง
แม้ว่าการให้โดยเสน่หาจะเป็นการกระทำด้วยความสมัครใจ แต่เมื่อเกิดปัญหาทางกฎหมาย สิ่งสำคัญคือต้องแยกแยะระหว่างการให้โดยเสน่หากับการฉ้อโกงและหลอกลวง เนื่องจากการกระทำแต่ละประเภทมีผลทางกฎหมายที่แตกต่างกัน
1. ให้โดยเสน่หา
การให้โดยเสน่หานั้นเป็นการโอนทรัพย์สินด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ผู้ให้ไม่หวังผลตอบแทนและไม่มีเจตนาทุจริตใด ๆ ดังนั้น การให้โดยเสน่หาจะไม่มีความผิดทางกฎหมาย และทรัพย์สินที่ให้ไปมักจะไม่สามารถเรียกร้องคืนได้ ยกเว้นกรณีที่มีเงื่อนไขพิเศษที่ผู้รับต้องปฏิบัติตาม
2. ฉ้อโกง
การฉ้อโกงหมายถึง การใช้กลวิธีหลอกลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่น โดยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 กำหนดว่า การฉ้อโกงเกิดจากเจตนาทุจริต การหลอกลวงให้ผู้ให้เข้าใจผิดและยินยอมโอนทรัพย์สิน ในกรณีที่มีการฉ้อโกง ผู้ให้สามารถเรียกร้องคืนทรัพย์สินได้ และผู้กระทำการฉ้อโกงอาจถูกดำเนินคดีทางอาญา
3. หลอกลวง
การหลอกลวงอาจไม่ถึงขั้นเป็นการฉ้อโกงเสมอไป แต่การหลอกลวงนั้นเป็นการทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดเกี่ยวกับข้อเท็จจริง โดยไม่มีการบีบบังคับหรือใช้กลวิธีที่เข้าข่ายการฉ้อโกง ในกรณีที่ผู้ให้ถูกหลอกลวง ผู้ให้ก็ยังสามารถเรียกร้องคืนทรัพย์สินได้ในบางกรณี หากการหลอกลวงนั้นมีผลกระทบต่อสิทธิหรือทรัพย์สินของผู้ให้
ให้แล้วจะขอคืนได้หรือไม่ : การประพฤติเนรคุณ
แม้ว่าการให้โดยเสน่หาจะเป็นการให้ด้วยความสมัครใจ แต่ตามกฎหมายไทย การขอคืนทรัพย์สินสามารถทำได้ในบางกรณี เช่น กรณีที่ผู้รับกระทำการ "ประพฤติเนรคุณ" ต่อผู้ให้ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 บัญญัติว่า ผู้ให้มีสิทธิ์เรียกร้องทรัพย์สินคืนได้ หากผู้รับทรัพย์ประพฤติเนรคุณ ซึ่งในที่นี้หมายถึงการกระทำใด ๆ ที่ขัดต่อจริยธรรมและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ให้และผู้รับ เช่น การดูหมิ่น การทำร้ายร่างกาย หรือการไม่ดูแลผู้ให้ในยามเจ็บป่วยหรือยามแก่เฒ่า
การประพฤติเนรคุณ: การตีความในทางกฎหมาย
การประพฤติเนรคุณเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและต้องได้รับการตีความอย่างละเอียด เนื่องจากคำว่า "เนรคุณ" ในที่นี้หมายถึงการกระทำที่ละเมิดต่อความสัมพันธ์ส่วนบุคคลที่ผู้ให้และผู้รับมีต่อกัน การประพฤติเนรคุณสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ เช่น การใช้วาจาที่ไม่สุภาพต่อผู้ให้ การไม่ให้ความช่วยเหลือในยามจำเป็น หรือการกระทำใด ๆ ที่ทำให้ผู้ให้รู้สึกเสียใจหรือละเมิดความไว้วางใจ
ตัวอย่างที่ชัดเจนของการประพฤติเนรคุณคือ เมื่อบุตรที่ได้รับทรัพย์สินจากบิดามารดาปฏิเสธที่จะดูแลพวกเขาในยามเจ็บป่วยหรือยามแก่เฒ่า ในกรณีเช่นนี้ ผู้ให้สามารถใช้สิทธิ์เรียกร้องทรัพย์สินคืนได้ เนื่องจากผู้รับไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ทางจริยธรรมและความสัมพันธ์ส่วนบุคคล
การขอคืนทรัพย์สินในกรณีอื่นๆ
นอกจากการประพฤติเนรคุณแล้ว การขอคืนทรัพย์สินที่ให้โดยเสน่หายังสามารถทำได้ในกรณีอื่น ๆ เช่น การให้ทรัพย์สินด้วยเงื่อนไขที่ผู้รับไม่ปฏิบัติตาม หรือในกรณีที่การให้เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดหรือการหลอกลวง ในกรณีเหล่านี้ กฎหมายไทยให้สิทธิ์แก่ผู้ให้ในการเรียกร้องทรัพย์สินคืนได้ โดยต้องพิสูจน์ว่าการกระทำนั้นมีผลกระทบต่อสิทธิของผู้ให้ หรือเกิดจากการที่ผู้รับไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำไว้
การให้โดยเสน่หาในทางกฎหมายไทยมีเงื่อนไขที่ผู้ให้สามารถเรียกร้องทรัพย์สินคืนได้หากผู้รับประพฤติเนรคุณ การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นการขัดต่อความสัมพันธ์ทางสังคมและจริยธรรม แต่ยังถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิและความไว้วางใจของผู้ให้ ดังนั้น การเข้าใจถึงเงื่อนไขการประพฤติเนรคุณและการใช้สิทธิ์ทางกฎหมายในการเรียกร้องทรัพย์สินคืนจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ให้ที่ต้องการรักษาสิทธิ์และความยุติธรรม
อ้างอิง:
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 521 และ มาตรา 531
- ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
- ศาสตราจารย์กิตติคุณ อารียา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, "การวิเคราะห์กฎหมายว่าด้วยการประพฤติเนรคุณ," วารสารกฎหมายไทย, เล่ม 10, ฉบับ 2, 2563
Comments