วิเคราะห์เชิงลึกตลาดวัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ของไทยหลังเหตุแผ่นดินไหว 28 มีนาคม 2568
- Aktivist Admins
- 4 วันที่ผ่านมา
- ยาว 1 นาที
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูดในประเทศเมียนมา ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนที่รับรู้ได้ในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียง แม้ว่าความเสียหายด้านโครงสร้างจะไม่รุนแรงในพื้นที่ส่วนใหญ่ แต่มีรายงานถึงปัญหา เช่น ผนังแตกร้าว เพดานหล่น และอุปกรณ์ติดตั้งหลุดร่วง เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคารสูงและโครงสร้างเก่า และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในตลาดวัสดุก่อสร้างและภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทย บทวิเคราะห์นี้จะเจาะลึกถึงผลกระทบทันที การตอบสนองในระยะกลาง และแนวโน้มระยะยาวของทั้งสองอุตสาหกรรม

ผลกระทบทันทีต่อตลาดวัสดุก่อสร้าง
หลังแผ่นดินไหว ความต้องการวัสดุก่อสร้างที่ใช้สำหรับการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มวัสดุต่อไปนี้:
ปูนซีเมนต์และคอนกรีตเสริมแรง: ความกังวลเกี่ยวกับความแข็งแรงของโครงสร้างทำให้เกิดความต้องการปูนซีเมนต์คุณภาพสูงและคอนกรีตเสริมแรงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และภาคเหนือของไทย
เหล็กและโครงสร้างโลหะ: ความจำเป็นในการเสริมโครงสร้างอาคารเก่าและโครงสร้างสำคัญทำให้เกิดความต้องการเหล็กกล้าความแข็งแรงสูงเพิ่มขึ้น
วัสดุต้านทานแผ่นดินไหว: มีความสนใจเพิ่มขึ้นในวัสดุพิเศษที่สามารถลดแรงสั่นสะเทือน เช่น ฐานรากดูดซับแรงสั่นสะเทือนและโครงสร้างเหล็กพลังงานต่ำ
อุปกรณ์ซ่อมแซมภายใน: วัสดุสำหรับการซ่อมแซมภายใน เช่น แผ่นยิปซัม ปูนฉาบ และกระเบื้อง ได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากเจ้าของบ้านต้องการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้น
ภาครัฐและภาคเอกชนตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นโดยการเพิ่มกำลังการผลิต ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ติดตามราคาสินค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการขึ้นราคาที่ไม่เป็นธรรม

ผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์
แนวโน้มระยะสั้น
หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ความเชื่อมั่นของผู้ซื้อและนักลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบ โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังต่อไปนี้:
ความสนใจในคอนโดมิเนียมลดลง 12% เนื่องจากความกังวลเรื่องโครงสร้าง
ความต้องการบ้านแนวราบเพิ่มขึ้น เช่น ทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยว ซึ่งถูกมองว่ามีความปลอดภัยมากกว่า
ผู้พัฒนาโครงการบางรายชะลอการขาย เพื่อดำเนินการตรวจสอบโครงสร้างเพิ่มเติม
การตอบสนองของผู้พัฒนาโครงการและหน่วยงานกำกับดูแลในระยะกลาง
ภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีการปรับตัวต่อความกังวลเรื่องความปลอดภัยดังนี้:
มาตรฐานการก่อสร้างที่เข้มงวดขึ้น: หน่วยงานกำกับดูแลเริ่มหารือเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะสำหรับอาคารสูงกว่า 30 ชั้น
โครงการปรับปรุงอาคารเก่า: ผู้พัฒนาเริ่มดำเนินการเสริมโครงสร้างอาคารที่มีอยู่ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค: ผู้ซื้อให้ความสำคัญกับอาคารที่มีมาตรการต้านทานแผ่นดินไหวมากขึ้น ทำให้ผู้พัฒนาต้องออกแบบโครงการใหม่ให้มีคุณสมบัติดังกล่าว

การเปลี่ยนแปลงของตลาดในระยะยาว
แนวโน้มในอนาคตของตลาดวัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์จะได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ได้แก่:
1. ความต้องการวัสดุก่อสร้างที่ต้านทานแผ่นดินไหวเพิ่มขึ้น
โซลูชันทางวิศวกรรมที่ล้ำหน้า: เทคโนโลยีใหม่ เช่น ฐานรองรับแรงสั่นสะเทือน ระบบหน่วงแรง และเหล็กเสริมแรงชนิดพิเศษ จะกลายเป็นมาตรฐานสำคัญในการพัฒนาโครงการ
การบูรณาการเทคโนโลยีอัจฉริยะ: ระบบเซ็นเซอร์ AI ที่สามารถตรวจจับความเครียดในโครงสร้างแบบเรียลไทม์ อาจถูกนำมาใช้ในโครงการใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ
กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น: รัฐบาลอาจกำหนดให้โครงการใหม่ทุกโครงการต้องผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจากแผ่นดินไหว
2. พฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เปลี่ยนไป
การให้ความสำคัญกับบ้านแนวราบ: หากไม่มีมาตรการเสริมความปลอดภัยที่ชัดเจน อาจทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ หันมาให้ความสำคัญกับบ้านเดี่ยวและโครงการแนวราบมากขึ้น
มาตรฐานความปลอดภัยที่โปร่งใสขึ้น: ผู้ซื้อจะต้องการข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างของอาคารมากขึ้น ทำให้เกิดแนวโน้มการรับรองความปลอดภัยโดยหน่วยงานอิสระ
ความระมัดระวังของนักลงทุน: นักลงทุนอาจชะลอการลงทุนในโครงการคอนโดมิเนียมจนกว่ามาตรฐานความปลอดภัยใหม่จะมีผลบังคับใช้
3. การพัฒนานโยบายและโครงสร้างพื้นฐาน
การประเมินความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวทั่วประเทศ: หน่วยงานวางผังเมืองอาจร่วมมือกับนักธรณีวิทยาในการระบุพื้นที่เสี่ยงและปรับนโยบายให้เหมาะสม
แรงจูงใจของรัฐบาลในการปรับปรุงโครงสร้างเก่า: อาคารเก่าอาจได้รับเงินสนับสนุนหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการปรับปรุงให้ต้านทานแผ่นดินไหว
การรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน: เหตุการณ์นี้เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมรับมือแผ่นดินไหว ซึ่งอาจนำไปสู่โครงการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัย
แม้ว่าแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 จะไม่สร้างความเสียหายร้ายแรงในไทย แต่ก็ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาควัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ความต้องการวัสดุซ่อมแซมเพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ผู้ซื้อให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากขึ้น ทำให้ผู้พัฒนาต้องปรับตัว และภาครัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการกำหนดมาตรฐานใหม่เพื่อความยั่งยืนของตลาดในระยะยาว
Comments