top of page

ตบทรัพย์ คือ อะไรกันนะ?

รูปภาพนักเขียน: Epsilon Legal AdminEpsilon Legal Admin

อัปเดตเมื่อ 15 พ.ย. 2567

ตบทรัพย์

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า "ตบทรัพย์" ผ่านตามข่าวหรือบทสนทนาในชีวิตประจำวัน แต่มันหมายถึงอะไรกันแน่? เรามักได้ยินคำนี้ในกรณีที่มีการฟ้องร้องหรือมีการเรียกร้องค่าเสียหายอย่างไม่สมเหตุสมผล แต่เพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้น วันนี้เรามาเจาะลึกความหมายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกันในประเทศไทยดีกว่า


คำว่า "ตบทรัพย์" เป็นคำที่ใช้เรียกการกระทำที่มีเจตนาหลอกลวงหรือข่มขู่เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือผลประโยชน์จากผู้อื่นโดยที่ผู้อื่นอาจไม่เต็มใจ การกระทำลักษณะนี้มักใช้วิธีการอาศัยความกลัว ความอับอาย หรือการข่มขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลที่อาจทำให้ผู้ตกเป็นเหยื่อรู้สึกเสียหน้า ส่งผลให้ผู้ที่ถูกกระทำยินยอมมอบทรัพย์สินหรือเงินเพื่อยุติเรื่องราว แม้จะไม่ใช่ความเต็มใจของตนเองก็ตาม


ตัวอย่างหนึ่งที่เรามักเห็นบ่อยในข่าวคือการ "ตบทรัพย์" ที่เกิดขึ้นหลังการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เมื่อมีการชนรถเล็กน้อย ผู้กระทำการอาจอ้างว่าได้รับบาดเจ็บเกินจริงและเรียกค่าเสียหายที่สูงเกินสมควรจากคู่กรณี หรือบางครั้งก็เป็นการเรียกค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัย ทั้งที่ความเสียหายนั้นไม่ได้มากมายอย่างที่กล่าวอ้าง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างของการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์อย่างไม่สุจริต


การกระทำเช่นนี้ผิดกฎหมายหรือไม่?

ในประเทศไทย การกระทำในลักษณะ "ตบทรัพย์" ถือว่าขัดต่อกฎหมายและมีบทลงโทษตามที่กำหนดใน ประมวลกฎหมายอาญา แม้คำว่า "ตบทรัพย์" อาจไม่ได้ถูกระบุอย่างชัดเจนในกฎหมาย แต่การกระทำเช่นนี้สามารถจัดเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงหรือการข่มขืนใจผู้อื่นด้วยวิธีการหลอกลวงได้


ตัวอย่างหนึ่งที่ตรงกับพฤติกรรมนี้คือ มาตรา 341 ของประมวลกฎหมายอาญา ที่ว่าด้วยเรื่องความผิดฐานฉ้อโกง โดยหากบุคคลใดหลอกลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อ และยินยอมมอบทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ให้ตนเองหรือบุคคลที่สาม การกระทำดังกล่าวถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งผู้กระทำผิดอาจได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


นอกจากนี้ยังมี มาตรา 337 ที่ว่าด้วยการข่มขืนใจผู้อื่น หากมีการขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับหรือเรื่องที่อาจทำให้ผู้ตกเป็นเหยื่ออับอายเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน ถือว่าเป็นความผิดเช่นกัน โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การใช้วิธีการข่มขู่เช่นนี้เป็นการใช้ความกลัวของผู้อื่นเป็นเครื่องมือ ซึ่งไม่เพียงแค่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออย่างมากด้วย

ตัวอย่างและกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริง


กรณีที่ 1: เรียกค่าเสียหายเกินจริงหลังอุบัติเหตุ มีกรณีหนึ่งที่เกิดขึ้นบนท้องถนน เมื่อรถสองคันเกิดเฉี่ยวชนกันเล็กน้อยโดยไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่ฝ่ายหนึ่งได้อ้างว่าตนได้รับบาดเจ็บรุนแรง และเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีเป็นจำนวนหลายแสนบาท ทั้งที่ความจริงบาดแผลนั้นเป็นเพียงแผลถลอกเล็กน้อย ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้เสียหายอาจยินยอมจ่ายเงินเพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลายหรือถูกฟ้องร้องในภายหลัง กรณีเช่นนี้จัดว่าเข้าข่าย "ตบทรัพย์" โดยผู้กระทำการใช้อุบายบังคับให้คู่กรณียอมจ่ายเงินโดยไม่สมเหตุสมผล


กรณีที่ 2: แกล้งหกล้มในห้างสรรพสินค้าเพื่อเรียกค่าเสียหาย อีกหนึ่งตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงคือกรณีที่มีผู้เข้าไปในห้างสรรพสินค้าและแกล้งทำเป็นล้มลงบนพื้นที่เปียกน้ำ แล้วอ้างว่าตนเองได้รับบาดเจ็บจากการหกล้มดังกล่าว จากนั้นก็เรียกร้องค่าเสียหายจากทางห้างเป็นจำนวนเงินหลายหมื่นบาท ซึ่งบางครั้งห้างสรรพสินค้าก็อาจยอมจ่ายเงินเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายทางชื่อเสียง หากกรณีดังกล่าวถูกตรวจสอบและพบว่าไม่มีบาดแผลหรือการบาดเจ็บจริง การกระทำดังกล่าวถือว่ามีเจตนาหลอกลวงเพื่อเรียกเงินจากทางห้าง ซึ่งเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายอาญา


กรณีที่ 3: หลอกลวงในโลกออนไลน์ ในยุคดิจิทัล การ "ตบทรัพย์" ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในชีวิตจริงเท่านั้น แต่ยังแพร่หลายในโลกออนไลน์ ตัวอย่างเช่น การแกล้งซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ แล้วอ้างว่าสินค้ามีตำหนิหรือไม่ตรงตามที่โฆษณา จากนั้นก็เรียกร้องเงินชดเชยหรือขู่จะเขียนรีวิวเสียหายในโซเชียลมีเดีย ร้านค้าบางแห่งอาจยินยอมจ่ายเงินเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียชื่อเสียงและความไว้วางใจจากลูกค้า ซึ่งในกรณีนี้ หากพิสูจน์ได้ว่าผู้ซื้อมีเจตนาหลอกลวง การกระทำดังกล่าวก็สามารถเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงได้


เปรียบเทียบกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย

การ "ตบทรัพย์" มีความคล้ายคลึงกับการ กรรโชกทรัพย์ ซึ่งถูกระบุไว้ใน มาตรา 338 ของประมวลกฎหมายอาญา โดยการกรรโชกทรัพย์นั้นมักมีการข่มขู่ที่จะใช้ความรุนแรงหรือบังคับขู่เข็ญเพื่อให้ผู้อื่นมอบทรัพย์สินให้ ในขณะที่การตบทรัพย์อาจไม่ถึงขั้นข่มขู่ด้วยความรุนแรง แต่ใช้ความกดดันทางจิตใจหรือการข่มขู่ในรูปแบบอื่น เช่น การเปิดเผยเรื่องที่เป็นความลับหรือการขู่ว่าจะฟ้องร้องเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ การกระทำทั้งสองอย่างนี้แม้จะต่างกันในวิธีการ แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือการบีบบังคับให้ผู้อื่นมอบทรัพย์สินอย่างไม่เต็มใจ


เราจะป้องกันตนเองจากการถูกตบทรัพย์ได้อย่างไร?

การตระหนักรู้และมีความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันการตกเป็นเหยื่อของการ "ตบทรัพย์" หากคุณได้รับการติดต่อหรือข่มขู่เพื่อเรียกร้องเงินหรือทรัพย์สิน ควรใช้เวลาตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนจะตัดสินใจดำเนินการใดๆ การปรึกษาทนายความก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณเข้าใจสิทธิของตนเองได้ดียิ่งขึ้น เพราะบางครั้งการที่เราไม่เข้าใจกฎหมายอาจทำให้ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงได้ง่าย


นอกจากนี้ ควรระมัดระวังในการให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะข้อมูลทางการเงินและข้อมูลส่วนตัวที่อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การอ้างเพื่อเรียกค่าเสียหายหรือข่มขู่ การรักษาความเป็นส่วนตัวจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย


การ "ตบทรัพย์" แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาของบางคน แต่จริงๆ แล้วเป็นการกระทำที่มีผลกระทบต่อทั้งผู้ที่ถูกกระทำและสังคมโดยรวม เพราะเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นและขัดต่อกฎหมาย หากเราทุกคนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องกฎหมายและมีสติในการจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อของการกระทำที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ได้


ดังนั้น การมีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย ไม่เพียงแค่ช่วยให้เราป้องกันตัวเองได้จากการถูกตบทรัพย์ แต่ยังช่วยส่งเสริมให้สังคมของเราเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและมีความยุติธรรมยิ่งขึ้น

ดู 72 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page